เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๘ ม.ค. ๒๕๔๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๔๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เรื่องของธรรม ! ความเห็นของธรรมไม่เหมือนความเห็นของโลก ความเห็นของโลกมันเป็นตำรา มันเขียนตามกันมา แล้วมันก็ใคร่ครวญตามกันได้ ความเห็นของโลกเหมือนวิทยาศาสตร์ ทางวิทยาศาสตร์เขียนเป็นตำรา แล้วเราอ่านตามตำรา ทำตามตำราได้

แต่ทางธรรมนะ เขียนเป็นตำราเหมือนกัน ธรรมะก็เขียนเป็นตำรา แต่อ่านตามตำรา ทำตามตำราแล้วไม่ได้ผลตามตำรานั้น แล้วก็ว่ามันคาดการไป ความคาดไปของการคาดหมายไง

เราคาดหมายไป เขียนเป็นตำรามานะ แล้วเราทำไปอย่างนั้น มันเป็นไปไม่ได้อย่างนั้นเพราะอะไร เพราะตำรานั้นเขียนโดยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธวิสัยนะ ! พุทธวิสัยต้องเป็นแบบนี้ เรามันเทียบเคียงได้เกือบถึงจะเป็นไป แล้วความเห็นมันจะลงกันเหมือนกัน ลงกันไป มันเหมือนพุทธวิสัยไง

แล้วสาวกะมันได้ไม่ถึง แต่ความสะอาดจะถึงเหมือนกัน ความถึงเหมือนกัน... ความถึงมันเข้าใจเหมือนกัน ความเข้าใจตรงนี้ ความเข้าใจถึงธรรมที่เข้าไปมีประสบการณ์ตรง ถึงว่าถ้าถามปัญหาจะตอบได้หรือไม่ได้อยู่ที่ตรงนี้ ถ้าตอบปัญหาได้ มันเคลียร์ได้ มันรับรู้ส่วนนี้ได้ ถ้าตอบปัญหาแล้วมันออกไปคนละทาง เห็นไหม

อย่างการประพฤติปฏิบัติ เราปฏิบัติของเรามา แล้วเราไปถามครูบาอาจารย์นี่ ถ้าตอบมาผิด คนหนึ่งตอบผิด ต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดแน่นอน ! ไม่อาจารย์ผิด ก็ลูกศิษย์ผิดต้องมีฝ่ายผิดฝ่ายหนึ่ง

อันนี้ก็เหมือนกัน วิธีการมันเหมือนที่ว่าเขียนเป็นตำรา นี่เป็นวิธีการนะ แต่เวลาเราทำวิธีการนั้น เราจะได้ผลตามวิธีการนั้นไหม เราจะไม่ได้ผลตามวิธีการนั้นเลยเพราะอะไร เพราะทางวิทยาศาสตร์มันเป็นสสาร ส่วนผสมของโลกเขา แล้วส่วนผสมนั้นมันจะออกมาทางวิทยาศาสตร์

แต่ทางนามธรรม นี่มันส่วนผสมของใจนะ ความส่วนผสมของใจ ความรู้สึกของใจ มันทำขึ้นมาตามความรู้สึกของใจ มันจะมีความแยกแยะไปนะ มันไม่มีสูตรสำเร็จหรอก มันต้องเป็นไปตามปัจจัตตัง

โอปนยิโก น้อมเรียกสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรมในหัวใจของเรา ถ้ามันเป็นไป มันจะเป็นไปอย่างนั้น ความเป็นไปของหัวใจ มันชำระเข้าไป มันปล่อยวางเข้าไป ความปล่อยวางของมัน มันเหมือนกันตรงนี้ ! ตรงที่มันจะปล่อยวาง แต่ตอนที่มันจะเข้าไป ให้เหมือนกันน่ะ มันเหมือนกัน ! แล้วมันปล่อยวาง คำว่าปล่อยวางเหมือนกัน เราก็คิดแบบนี้

ตอนนี้ เวลาครูบาอาจารย์พูดแบบนี้ แล้วเราก็จินตนาการให้มันปล่อยวางไงจินตนาการให้มันปล่อยวางว่ามันเหมือนกัน แต่มันปล่อยวางตรงนี่ ทำแล้วไม่ได้ตามธรรม ตามที่พระพุทธเจ้าสอน แล้วไม่ได้ตามพระพุทธเจ้าตรงนี้ ! ตรงที่เรารู้หลักวิชาการ ปล่อยวาง เราก็จะปล่อยวางอย่างนั้น

อย่างเช่น ทำสมาธิ..เริ่มทำสมาธิ สมาธิคือว่าพุทโธหายไป แล้วส่วนใหญ่พุทโธจะละเอียดเข้าไป พุทโธมันจะหายจนกำหนดพุทโธไม่ได้ !

ทุกคนคิดอย่างนั้น.. แล้วส่วนใหญ่จะทำ พอกำหนดสมาธิขึ้นมานี่ กำหนดสมาธิ ทำความสงบพุทโธๆ แล้วพุทโธมันก็จะหายไป จางไปๆ เราไปปล่อยให้มันจางไปเองเห็นไหม เราไปขุดหลุมดักตัวเองไว้ เราคิดว่ามันจะหายไป แล้วเราก็จะนั่งหลับกัน

ส่วนใหญ่แล้วจะตกภวังค์หมดเลย จะนั่งหลับไปเลย เพราะกำหนด พุทโธๆ แล้วคิดว่าพุทโธมันจะหายใช่ไหม แล้วก็จะจางไป.. จางไป.. คิดว่าถูก แต่ความจริงผิด ! ความจริงผิด ! ผิดตรงที่ว่า

...พุทโธมันจะหายโดยธรรมชาติของมัน !

แต่ขณะที่มันจะหายนี้ เราพยายามกำหนดพุทโธ เราเคยทำมานะ กำหนด พุทโธๆๆ นี่ มันจะหายนี่ ฝืนมันเลย ฝืนพุทโธๆๆ แต่ถึงที่สุดแล้วฝืนขนาดไหนนะ มันก็ต้องหายไปโดยธรรมชาติของมัน

มันหายไปโดยธรรมชาติของมัน คือว่ามันกำหนดไม่ได้ จิตมันละเอียดเข้าไป เราฝืนเลยนะ พุทโธๆๆ ฝืนไว้ขนาดนั้นนะ มันก็ละเอียดจนพุทโธไม่ได้ มันระลึกไม่ได้ต่างหาก ไม่ใช่ว่ามันจะปล่อยวางให้มันหายไป เรานี่นะ พุทโธๆๆๆๆๆ แล้วก็เบาลงๆ จนกว่ามันจะหายไป พอมันหายไปแล้ว มันก็หายไปเลย หลับไป ตกภวังค์ไป

การปล่อยวางในการจินตนาการก็เหมือนกัน การปล่อยวางในจินตนาการที่ว่าเราวิปัสสนาแล้ว เรายกขึ้นมานี่ เราทำๆๆๆ เห็นไหม เราจะวิปัสสนา เราจะฆ่ากิเลส แล้วเราพยายามสร้างเหตุการณ์ขึ้นมา สร้าง กาย เวทนา จิต ธรรม ขึ้นมา แล้ววิปัสสนาไป มันก็จะปล่อยวางแบบนั้น

ความปล่อยวางของเรา เพราะอะไร เพราะมันมีกิเลสของเราเข้าไปรับรู้ด้วย มันมีกิเลสของเราเข้าไปรับรู้ มันมีกิเลสของเราเข้าไปจินตนาการ มีกิเลสของเราเข้าไปก่อน มันถึงว่าทำแล้วมันจะไม่ได้ตามนั้นไง

ถึงว่า ต้องวางไว้ ! ศึกษาธรรมะมา หลวงปู่มั่นบอกว่า “ไม่ได้ดูถูกธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บอกอาจารย์นี่ว่า ให้วางไว้ก่อนนะ ถ้ายังไม่เป็นประโยชน์ มันยังไม่เป็นประโยชน์หรอก... ถ้ามันเป็นประโยชน์ มันจะเป็นประโยชน์”

วางธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ก่อน แล้วเราพยายามปฏิบัติของเราขึ้นมา แล้วมันจะเป็นไปเอง เวลาถึงที่สุดแล้วมันเป็นไป มันจะถึงตรงนั้น แต่ตอนที่ยังไม่เป็นไป เราอย่าไปคาดมัน มันเป็นการคาดการหมาย

ถึงว่าปฏิบัติตามนั้นแล้วมันจะไม่ได้เหมือน มันจะไม่เหมือนธรรมนั้น ถึงว่าต้องผู้ปฏิบัติจริงเท่านั้น ถึงจะตอบปัญหาอย่างนี้ได้ !

ถ้าผู้ปฏิบัติไม่จริง ตอบปัญหาเรื่องนี้ไม่ได้เลย มันเป็นความเห็นภายใน มันไม่เหมือนกับทางโลกหรอก

ถึงว่าเป็นสุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา ปัญญาจากความใคร่ครวญจากภายในนี้ ถ้ามันมีจริงนะ มันจะชำระกิเลสได้จริง แล้วมันจะปล่อยวางได้จริง ถ้ามันไม่มีจริงนะ มันเป็นความคาดหมายของโลก มันคาดหมาย มันทันกันไง

เราพูด เราสื่อกันขนาดไหนก็แล้วแต่ คนฟังมันจะฟังทัน มันจะเป็นสื่อออกมาทางโลกไง สื่อออกมาแบบโลกๆ เขา แล้วสื่อออกมาแบบวิทยาศาสตร์ แต่ฟังโดยทางสมมุตินะ ถ้าฟังโดยสมมุติ ฟังโดยความเข้าใจทางโลก มันจะซึ้งใจมาก... มันจะซึ้งใจ..

ซึ้งใจขณะฟังนะ.. แต่เวลาไปนั่งใคร่ครวญแล้ว มันจะมีข้อโต้แย้ง เวลาเราจะไปคิดอีกที มันจะมีข้อโต้แย้งออกมาว่า มันควรจะผิดอย่างนั้น ควรจะถูกอย่างนั้น

แต่ถ้าเป็นธรรมแล้ว ไม่มีเลย ! มันหมด ไม่มีเหตุ ไม่มีการโต้แย้ง มันจะโต้แย้งสิ่งนั้นไม่ได้เลย มันจะปล่อยวาง มันจะขาดออกไป มันจะปล่อยวางขนาดไหน มันจะขาดมันรู้ตามความเป็นจริงของใจดวงนั้นไง มันไม่มีข้อโต้แย้ง

คิดดูสิ ขนาดข้อโต้แย้งเรายังโต้แย้งได้ แล้วถ้าเกิดกิเลสมันอยู่ในหัวใจ ทำไมมันจะหลอกไม่ได้ ทำไมมันจะพลิกแพลงไม่ได้ มันจะปลิ้นปล้อนเราไม่ได้ ถ้ามันปลิ้นปล้อนเรา เห็นไหม ขนาดข้อโต้แย้งข้างนอกนี่ มันเป็นความคิดใช่ไหม

แต่เรื่องนามธรรม เรื่องความเห็นแก่ตัวนี่ มันมีเหตุผลไหม ความเห็นแก่ตัวของใจไม่มีเหตุผลนะ เราจะเห็นแก่ตัว เราจะเห็นว่าเราดี ไม่มีเหตุผลรองรับว่าเราดีตรงไหน ไม่รู้ ! แต่รู้ว่าเราดี

แต่ไม่มีเหตุผลรองรับว่าเราดีตรงไหน ไม่มีหรอก ! แต่เรารู้ว่าเราดี เราดี.. เราดีตลอด นี่มันไม่มีเหตุผล มันถึงหลบหลีกอยู่ในหัวใจ แล้วมันโต้แย้งตรงนี้ได้ มันผ่านไปแล้ว มันโต้แย้งตรงนี้ กิเลสมันจะโต้แย้งจากในหัวใจของเรา

ฉะนั้นมันถึงว่าจะตอบไม่ได้ แล้วความเห็นจะเป็นไปตามความนั้นไม่ได้ ถ้าเป็นไปตามนั้น มันเรื่องหลักวิชาการ เป็นจินตมยปัญญา โลกนี้ภาวนากันไปอย่างนั้น หมุนเวียนกันอยู่อย่างนั้น แล้วมันอยู่อย่างนั้น มันก็เป็นภาษาโลกเห็นไหม

นี่วันนี้วันพระ ถ้าเราสร้างพระ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระทั้งหัวใจ เป็นพระทั้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย เป็นพระตามความเป็นจริง

เราก็เหมือนกัน สร้างพระจากภายนอก บุญกุศลออกมาจากภายนอก เป็นอามิสทาน ทานนี้เราปฏิบัติบูชาไป ทำไปเพื่อบุญกุศลของเรา เพื่อให้บุญกุศลของเราส่งเสริมเราขึ้นมา ให้มันมีพระจากภายในหัวใจ

ถ้าเป็นพระจากภายใน พระจากภายนอกสะสมขึ้นมา.. สะสมขึ้นมา แล้วทำขึ้นมาจนเป็นพระจากภายใน ถ้าเป็นพระจากภายใน มันจะมีความสุขของเราเองนะ ความสุขของหัวใจดวงนั้น ความเข้าใจ มันจะเห็นเรื่องของกิเลสทั้งหมด แล้วมันจะเห็นว่าเรื่องกิเลสเป็นอย่างนั้น แล้วรับรู้เรื่องของกิเลส รอแต่วันตาย

ถ้าทำสิ้นสุดขบวนการแล้ว รอถึงแต่ว่าสิ้นไปเท่านั้นเอง เพราะมันเรื่องของขันธ์การกินอยู่นี่มันเรื่องของสมมุติ เป็นเรื่องของสิ่งที่ว่าเหลือเศษอยู่ เหลือเศษของชีวิตไงชีวิตนี้มันดับตั้งแต่เวลามันพ้นจากกิเลสไป มันหมดสิ้นแล้ว มันก็ปล่อยวาง

แต่นี่ความเป็นอยู่ชีวิตยังไม่สิ้นนะ มันใช้ชีวิตอันนี้ไปนี่ อันนี้ถึงเป็นประโยชน์กับโลกเขา แต่ไม่เป็นประโยชน์กับตัวเองเลย ตัวเองไม่ได้ผลสิ่งใดๆ ทั้งสิ้นอีกแล้ว จะทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว เพราะมันเต็มตั้งแต่เวลามันเข้าใจ ปล่อยวางกิเลสแล้ว

แต่มันเป็นประโยชน์ต่อโลกเห็นไหม ก็สร้างประโยชน์กับโลกไป ถึงว่ารอวันตายเท่านั้น ! ถ้าเป็นประโยชน์กับโลกได้ก็เป็น ถ้าเป็นประโยชน์กับโลกไม่ได้ มันก็ไม่เป็น ใจดวงนั้นเป็นอย่างนั้น !

แต่ใจของเราใจสิ ! ใจของเรามันไม่มีที่พึ่ง มันหาที่พึ่งไป แล้วมันหลงตัวเองด้วยนะ มันเพลินอยู่กับโลก มันเกาะเกี่ยวโลกไป แล้วอยู่กับโลกไปอย่างนั้น แต่มันไม่หาที่พึ่งของตัวมันเอง มันเข้าใจตัวมันเองไม่ได้ ความเข้าใจตัวเองไม่ได้นี่ละ มันจะหมุนเวียนอยู่ในโลก นี่วัฏฏะ ! แล้วจับหลักตัวเองไม่ได้

แต่ถ้าสิ้นสุดขบวนการไปแล้ว มันเห็น มันมีหลักใจ หลักใจที่ไม่มีหลัก หลักใจที่ไม่มีหลัก คือหลักใจตัวนั้นมันไม่มี แต่มันมีหลักของมันเห็นไหม แต่เราว่าเรามีที่พึ่ง เรามีหลักใจ เราอยู่ในโลกเขานี่ เรามีที่เกาะเกี่ยว มันอุ่นใจไง หัวใจมันจับต้องได้ ความอุ่นใจของเรา

แต่แล้วมันจะเวียนไปในวัฏฏะตลอดนะ หมุนเวียนไป ชีวิตต่างกันมาก ! ชีวิตจริงเวลาเราเข้าใจชีวิต กับเราไม่เข้าใจชีวิตนี่ ถ้าเข้าใจชีวิตแล้ว ชีวิตนี้มีเท่านี้ !

สรรพสิ่งนี้เหมือนเก่า ของเก่า ของเดิม ของที่ว่าเราประสบอยู่ตลอดไป เกิดใหม่ก็สภาพแบบนี้ ชีวิตนี้สภาพแบบนี้ แล้วเกิดใหม่สภาพแบบนี้ ไปเกิดใหม่บนสวรรค์ ก็เป็นทิพย์หน่อยหนึ่ง แล้วชีวิตก็สิ้นไป ชีวิตมีเท่านี้นะ ! แล้วหมุนเวียนอยู่เท่านี้

แต่เวลามันเข้าใจสิ้นหมดแล้ว ของเก่า ของเดิม ของที่ต้องไปสัมผัสอีก ทุกข์ก็ ทุกข์อันเก่า ความสุขก็คือสุขอันเก่า มีอยู่แค่นี้ ! เรื่องของโลกเขามีเท่านี้ มันเข้าใจแล้วมันปล่อยวางหมด มันถึงว่าจบสิ้นขบวนการ ชีวิตถึงไม่เหมือนกัน ชีวิตนี้ไม่เหมือนกัน ชีวิตรอวันดับ กับชีวิตที่ว่าการเวียนไปเวียนเกิดตลอดไป มันถึงต่างกันมาก

นี่เป็นเรื่องของสัจธรรม ! ถ้าเป็นพระภายในมันจะเข้าใจเรื่องอย่างนี้ แล้วจะปล่อยวางสิ่งนี้ไว้ทั้งหมดเลย ปล่อยวางสิ่งนี้ไว้เป็นเรื่องของเขา แล้วเรื่องของเราๆ จะเป็นของเราไปเอง เราจะพ้นจากชีวิตของเราไป พ้นจากความทุกข์ พ้นจากชีวิตนี้

ชีวิตนี้คืออะไรเห็นไหม พ้นจากชีวิตๆ ก็ไม่มี สืบต่อไปเท่านั้น เป็นแต่นามธรรม สิ้นสุดแล้วขบวนการก็จบกัน เอวัง